เนื้อหาโดยรวม
สำหรับปี FY2567 AEONTS คาดว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทจะได้รับแรงกดดันจากการปรับเพิ่มอัตราการชำระขั้นต่ำสำหรับบัตรเครดิต และ NIM จะได้รับแรงกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง แต่จะได้รับการชดเชยบางส่วนจากสินเชื่อที่กลับมาเติบโต และหนี้สูญได้รับคืนและกำไรจากการขาย NPL ที่เติบโตดี เราคาดว่ากำไรจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัวในปี FY2567 เรายังคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ AEONTS และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 170 บาท ปรับโมเดล ECL ให้ผ่อนคลายขึ้น แต่ยังอยู่ภายใต้แรงกดดัน ใน 4QFY66 AEONTS ได้ทำการปรับโมเดล ECL โดยผ่อนคลายเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้จากจากค้างชำระ 28 วัน เป็น 30 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อัตราส่วน NPL และ credit cost ลดลงใน 4QFY66 บริษัทคาดว่า ECL จะอยู่ที่ราว 600-700 ลบ.ต่อเดือนในปี FY2567 ทั้งนี้ในปี FY2567 และปี FY2568 คุณภาพสินทรัพย์จะได้รับแรงกดดันจากการปรับเพิ่มอัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตจาก 5% ในปี 2566 สู่ 8% ในปี 2567 และ 10% ในปี 2568 AEONTS คาดว่า NPL จะเพิ่มขึ้น 300 ลบ. (+7%) จากการปรับเพิ่มอัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตในปี 2567 บริษัทได้ตั้งสำรอง management overlay ไว้แล้ว 120 ลบ. เพื่อรองรับการปรับเพิ่มอัตราชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตสู่ 8% ในปี 2567 และ 200 ลบ. เพื่อรองรับการปรับเพิ่มอัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตสู่ 10% ในปี 2568 เราคาดว่า credit cost จะเพิ่มขึ้น 18 bps ในปี FY2567 และ 25 bps ในปี FY2568 NIM จะหดตัวลง ในปี FY2567 เราคาดว่า NIM จะได้รับแรงกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและมาตรการแก้หนี้เรื้อรังของธปท. (PD, หนี้ที่มีการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นนาน 5 ปี) สำหรับลูกหนี้ที่มีรายได้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน โดยตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 เป็นต้นไป ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการ PD จะได้รับทางเลือกในการเปลี่ยนสินเชื่อหมุนเวียนมาเป็นแบบมีระยะเวลา (term loan) และคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี (เทียบกับอัตราเพดาน 25%) โดยกำหนดให้การผ่อนชำระปิดจบภายใน 5 ปี AEONTS คาดว่ามาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยของบริษัทราว 4-5 ลบ.ต่อเดือน โดยประเมินว่า 10% ของลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเข้าข่ายเป็นลูกหนี้เรื้อรัง และคาดว่าจะมีลูกหนี้ที่เข้าข่ายเพียง 10% สมัครเข้าโครงการแก้หนี้เรื้อรัง เนื่องจากลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการนี้จะไม่สามารถขอสินเชื่อเพิ่มเติมได้จนกว่าจะชำระหนี้หมด เราคำนวณได้ว่ามาตรการนี้จะส่งผลกระทบทำให้ NIM ลดลง 5-10 bps AEONTS คาดว่าต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้น 40-60 bps ในปี FY2567 เราคาดว่า NIM จะลดลง 37 bps ในปี FY2567 สินเชื่อจะกลับมาเติบโต AEONTS ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อที่ 5-7% ใน FY2567 (เทียบกับ -3% ในปี FY2566) โดยมีโอกาสแตะ 10% หลักๆ จะมาจากสินเชื่อบัตรเครดิตแทนที่จะเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล บริษัทกำลังขยายธุรกิจไปสู่สินเชื่อจำนำทะเบียนรถและสินเชื่อดิจิทัล เราปรับประมาณการการเติบโตของสินเชื่อสำหรับปี FY2567 และปี FY2568 เพิ่มขึ้นจาก 5% สู่ 7% Non-NII จะเติบโตดี AEONTS คาดว่าหนี้สูญได้รับคืนรวมถึงกำไรจากการขาย NPL จะเพิ่มขึ้น 20% ในปี FY2567 นอกจากนี้บริษัทยังวางแผนขาย NPL สองครั้งในปี FY2567 (2QFY67 และ 4QFY67) เทียบกับเพียงครั้งเดียวในปี FY2566 กำไรมีแนวโน้มอยู่ในระดับทรงตัวในปี FY2567 ผลกระทบของกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นต่อ NIM และ credit cost ทำให้เราคาดว่ากำไร FY2567 จะอยู่ในระดับทรงตัว โดยเกิดจากสินเชื่อที่เติบโต 7% NIM ที่แคบลง 37 bps อันเป็นผลมาจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อที่ลดลง รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เติบโต 17% และ credit cost ที่เพิ่มขึ้น 18 bps คงคำแนะนำ NEUTRAL และคงราคาเป้าหมายไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เรายังคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ AEONTS และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 170 บาท (PBV 1.6 เท่า โดยอิงกับ ROE ระยะยาวที่ 13% cost of equity ที่ 8.8% และการเติบโตระยะยาวที่ 2%) ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง 2) ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบจากมาตรการลดหนี้ครัวเรือนของธปท. และ 3) ความเสี่ยงด้าน ESG จาก market conduct | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก AEONTS240411_T
|