เนื้อหาโดยรวม
ประเมินความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้ก่อนเลือกลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยพิจารณาจากการจัดอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ หรือ Credit Rating ซึ่งแต่ละรายก็มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ไม่เท่ากัน
การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) คืออะไร?
การลงทุนในตราสารหนี้ คือการให้กู้ยืมเงินอย่างเป็นมาตรฐาน ดังนั้น ความเสี่ยงของการลงทุนในตราสารหนี้ก็คือความเสี่ยงของการให้กู้ยืมเงิน โดยโอกาสที่ผู้ออกตราสารหนี้ (หรือลูกหนี้) จะผิดนัดชำระหนี้ต่อนักลงทุน (เจ้าหนี้) ก็จะมีความเสี่ยงที่แตกต่างไม่เท่ากันตามแต่ละราย
โดยพันธบัตรรัฐบาลที่ออกขายในประเทศจะถือว่าไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากรัฐบาลมีความน่าเชื่อถือและมีอำนาจสูงสุดในประเทศ เพราะสามารถเก็บภาษีเพื่อมาชำระหนี้คืนได้ จึงไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk Free) และจะไม่ถูกรวมอยู่ในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Credit Rating ในขณะที่หุ้นกู้ซึ่งออกโดยบริษัทเอกชน มีโอกาสที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้ เพราะความสามารถในการชำระหนี้ของแต่ละบริษัทอาจไม่เท่ากัน จึงต้องมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
ในปัจจุบัน บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือในประเทศไทยมีอยู่ 2 แห่ง คือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS Rating) และ บริษัท ฟิทช์เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (Fitch Rating Thailand) โดยจะทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ปัจจัยความเสี่ยงทั้งของบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ (Company Rating หรือ Issuer Rating) และตัวตราสารหนี้ (Issue Rating)
การจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับองค์กรจะถูกประเมินจากโครงสร้างองค์กร ข้อมูลทางการเงิน รวมถึงแผนการธุรกิจของบริษัท เพื่อประเมินสถานะทางการเงินและศักยภาพในการหารายได้ของบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ ซึ่งอันดับความน่าเชื่อถือของตัวตราสารหนี้เหล่านี้ จะสะท้อนถึงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและจ่ายคืนคืนเงินต้น โดยพิจารณาภายใต้ลักษณะเฉพาะตัวของตราสารหนี้แต่ละรุ่น หรือเงื่อนไขของตราสารหนี้ เช่น สิทธิแฝง (Option Embedded Bond) ข้อกําหนดสิทธิ ลำดับสิทธิของการเรียกร้องในการชําระหนี้ (Secured or Non-secured Bond) สิทธิในการเลื่อนจ่ายดอกเบี้ย และการค้ำประกัน เป็นต้น
การพิจารณากลุ่มอันดับตราสารหนี้ที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ
วิธีดูหุ้นกู้จะสามารถตรวจสอบได้จากอันดับความน่าเชื่อถือ ที่แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่ม Investment Grade (กลุ่มระดับลงทุน)
เป็นกลุ่มตราสารหนี้ที่น่าลงทุนมากที่สุด โดยเริ่มตั้งแต่ระดับ AAA ซึ่งหมายถึง อันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดและมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดต่ำที่สุด ลงมาถึง BBB- ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับปานกลาง โดยจะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ในเกณฑ์ปานกลาง
กลุ่ม Non-Investment Grade (กลุ่มต่ำกว่าระดับลงทุน)
ตราสารหนี้ในกลุ่มนี้อาจเรียกได้อีกชื่อว่า Speculative Grade (กลุ่มลงทุนเก็งกำไร) ซึ่งเป็นกลุ่มตราสารหนี้ที่จะให้ผลตอบแทนสูง โดยมีตั้งแต่ระดับ BB+ ลงมา ไปจนถึงระดับ D ถือเป็นตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำลงมา มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
กลุ่ม Unrated Bond (ไม่มีการจัดอันดับ)
เป็นกลุ่มตราสารหนี้ที่ไม่ได้ส่งไปจัดอันดับ หรือขอให้จัดอันดับแล้วแต่ไม่ได้รับการพิจารณา ซึ่งตราสารหนี้กลุ่มนี้จะจูงใจด้วยผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมากเช่นเดียวกัน โดยจะเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ให้กับกลุ่มนักลงทุนสถาบันและบุคคลที่มีสินทรัพย์ 50 ล้านบาทขึ้นไป
การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Credit Rating นับว่าเป็นหนึ่งในวิธีดูหุ้นกู้ที่สำคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในตราสารหนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถตัดสินทุกอย่างได้จากการดูอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้เพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาควบคู่ไปกับปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตราสารหนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับตราสารหนี้ และข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินในปัจจุบัน เพื่อพิจารณาถึงปัจจัยความเสี่ยงรอบด้าน
สำหรับผู้ที่ศึกษาข้อมูลเรื่องการลงทุน จนเริ่มมั่นใจและสามารถตัดสินใจได้แล้วว่าอยากลงทุนตราสารหนี้ตัวไหน ก็สามารถเปิดพอร์ตออนไลน์บนแอปพลิเคชัน Innovestx แพลตฟอร์มที่สามารถเลือกลงทุนได้กว่า 10,000 หลักทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์กว่า 26 ประเทศทั่วโลก ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า ประหยัดค่าธรรมเนียม ถ้าพร้อมแล้ว ก็เริ่มลงทุนกันได้เลย!