เนื้อหาโดยรวม
อยากซื้อกองทุนรวมที่ตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุน ใคร ๆ ก็แนะนำให้อ่าน Fund Fact Sheet ก่อน แล้ว Fund Fact Sheet คืออะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง อ่านต่อ
การเลือกซื้อกองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งโจทย์หินสำหรับนักลงทุนหลายคน เพราะนอกจากจะมีความหลากหลายสูงแล้ว กองทุนรวมยังเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่มีความเสี่ยงให้เลือกลงทุนมากถึง 8 ระดับ ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการด้านเป้าหมายทางการเงินได้อย่างครอบคลุม
อย่างไรก็ดี การเลือกซื้อกองทุนรวมให้เหมาะสมนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องพิจารณาถึงเป้าหมายที่ต้องการ ตลอดจนความเสี่ยงที่รับไหวเท่านั้น แต่นักลงทุนยังควรตัดสินใจเลือกลงทุนกองทุนรวมจากการพิจารณาข้อมูลบน Fund Fact Sheet ด้วยเช่นกัน
แล้ว Fund Fact Sheet คืออะไร? มีองค์ประกอบอะไรบ้าง และควรเริ่มอ่าน Fund Fact Sheet อย่างไรให้สามารถวางแผนและเลือกกองทุนรวมที่เหมาะกับตัวเองได้มากที่สุด มาทำความรู้จักทุกแง่มุมของ Fund Fact Sheet ให้มากขึ้นในบทความนี้กัน
Fund Fact Sheet คืออะไร?
เช่นเดียวกับการเพิ่มเพื่อนใหม่บนโลกออนไลน์ การซื้อกองทุนรวมตัวใหม่เข้ามาในพอร์ตก็จำเป็นที่จะต้องดู ‘โปรไฟล์’ ของตัวกองทุนรวมที่สนใจด้วยเช่นกัน
แต่แทนที่จะเข้าไปดูหน้าตาและจำนวนเพื่อนที่มีร่วมกันเหมือนกับการเพิ่มเพื่อนบนโลกออนไลน์ นักลงทุนจะต้องศึกษา ‘โปรไฟล์’ ของกองทุนรวมที่สนใจผ่าน Fund Fact Sheet ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือ สถาบันทางการเงินแต่ละแห่งจัดทำขึ้น
โดยโปรไฟล์ของกองทุนรวมอย่าง Fund Fact Sheet จะเป็นหนังสือชี้ชวนที่จะทำการสรุปข้อมูลสำคัญของกองทุนรวมให้นักลงทุนได้พิจารณารายละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ข้อมูลที่อยู่ใน Fund Fact Sheet ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เข้าใจถึงระดับความเสี่ยงของกองทุนแต่ละตัวเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยนักลงทุนวางแผนการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งจากการพิจารณาผลประกอบการในอดีต ปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุน รวมไปถึงความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น
ถาม - ตอบ เคลียร์สงสัย! |
คำถาม: Fund Fact Sheet ต่างจากหนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยลงทุน (Prospectus) อย่างไร? |
คำตอบ: หนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยลงทุน หรือ Prospectus เป็นเอกสารชิ้นแรกที่นักลงทุนจะได้รับก่อนจะตัดสินใจลงทุนกองทุนรวม มีจุดประสงค์เพื่อให้นักลงทุนได้ศึกษาและทำความเข้าใจกองทุนรวมให้รอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนรวมในครั้งแรก Fund Fact Sheet เป็น ‘เอกสารสรุปข้อมูลสำคัญ’ ของกองทุนรวมในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ ที่ ‘ผู้จัดการกองทุน’ หรือ ‘บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน’ จัดทำขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางให้นักลงทุนตัดสินใจขายและซื้อกองทุนรวมได้อย่างสะดวกในแต่ละช่วงเวลา |
Fund Fact Sheet มีองค์ประกอบอะไรบ้าง?
ในสมัยก่อน Fund Fact Sheet ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแต่ละแห่งจะมีลักษณะการนำเสนอข้อมูลที่แตกต่างกัน แต่ในปัจจุบันนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหลายแห่งได้เริ่มทำสรุปข้อมูลสำคัญของกองทุนรวมทั้งหมดไว้ในเอกสาร 3 - 5 หน้า เพื่อให้นักลงทุนสามารถพิจารณาข้อมูลได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น
โดยส่วนใหญ่แล้ว Fund Fact Sheet จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแต่ละแห่งจะประกอบไปด้วย 5 ข้อมูลพื้นฐานที่นักลงทุนต้องพิจารณาให้ดี ดังนี้
1. นโยบายการลงทุน
ตามหลักการแล้ว กองทุนรวมเป็นการลงทุนที่จะนำเงินจากนักลงทุนจำนวนมากไปจดทะเบียนเป็นกองทุน จากนั้นผู้จัดการกองทุนจะนำกองทุนดังกล่าวนี้ไปลงทุนต่อในสินทรัพย์การลงทุนที่เสนอตามนโยบายการลงทุน เช่น นำไปลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ ไปจนถึงการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ น้ำมันดิบ และอสังหาริมทรัพย์
2. ลักษณะความเสี่ยงและผลตอบแทน
Fund Fact Sheet แต่ละฉบับจะมีการระบุระดับความเสี่ยงและประเภทของกองทุนรวมเอาไว้ โดยกองทุนรวมจะเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่มีความเสี่ยงให้เลือกลงทุนตั้งแต่ระดับ 1 - 8 โดยกองทุนรวมความเสี่ยงระดับ 8 จะมีความเสี่ยงสูงสุด ส่วนใหญ่มักเป็นกองทุนที่ขายให้นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ หรือ นักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนสูงเท่านั้น
นอกจากระดับความเสี่ยงด้านการลงทุนแล้ว Fund Fact Sheet ยังมีการระบุคำเตือนสำคัญให้นักลงทุนได้พิจารณา ไม่ว่าจะเป็นคำเตือนด้านความเสี่ยงในการลงทุนทั่วไป ตลอดจนคำเตือนถึงลักษณะของการลงทุน
3. สินทรัพย์ 5 อันดับแรกที่กองทุนนำเงินไปลงทุน
อย่างที่กล่าวไปว่า กองทุนรวมเป็นสินทรัพย์ที่จะนำเงินของนักลงทุนไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนต่ออีกที ดังนั้น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจึงต้องระบุสินทรัพย์ หรือ การจัดสรรการลงทุน 5 อันดับแรกไว้ที่ Fund Fact Sheet เพื่อให้นักลงทุนพิจารณาโอกาสการสร้างผลตอบแทน ตลอดจนความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการลงทุนด้วยเช่นกัน
4. ผลการดำเนินงานย้อนหลัง
แม้ผลการดำเนินการย้อนหลังจะไม่ได้เป็นตัวการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต แต่นักลงทุนก็สามารถพิจารณาข้อมูลในส่วนนี้เพื่อตรวจสอบถึงประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้จัดการกองทุนและบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนได้เช่นกัน โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังจะแสดงผลออกมา 2 รูปแบบ คือ
1. รูปแบบปีปฏิทิน เป็นการเทียบผลตอบแทนรายปีกับดัชนีชี้วัด
2. รูปแบบปักหมุด เป็นการแสดงผลตอบแทนย้อนหลัง มีการระบุข้อมูล พร้อมกำกับวันที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเป็นครั้งแรก ตลอดจนวันที่นำข้อมูลมานำเสนอต่อ
5. ค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขในการซื้อขาย
ค่าธรรมเนียมการซื้อกองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งต้นทุนการลงทุนที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนได้ทำการระบุเอาไว้ใน Fund Fact Sheet โดยค่าธรรมเนียมการลงทุนจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก คือ
ค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากกองทุน
เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุนรวมทั้งหมด โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจะนำค่าธรรมเนียมในส่วนนี้ไปใช้เป็นค่าผู้สอบบัญชี ค่านายทะเบียนหน่วยลงทุน ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมการจัดการ และค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ และอื่น ๆ ตามนโยบายของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
ค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยลงทุน
ส่วนใหญ่มักจะเป็นค่าธรรมเนียมการขายและซื้อคืนหน่วยลงทุน นอกจากนี้ ยังครอบคลุมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน การโอนหน่วยลงทุน ค่าปรับสำหรับการขายหน่วยลงทุนคืนก่อนระยะเวลาที่กำหนด และธุรกรรมอื่น ๆ ตามที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกำหนด
5 เคล็ดลับการอ่าน Fund Fact Sheet ให้ซื้อกองทุนรวมได้เหมาะสม
ก่อนที่จะเพิ่มเพื่อนใหม่อย่างกองทุนรวมเข้ามาในพอร์ตการลงทุน นักลงทุนจะต้องรู้จักวิธีพิจารณาโปรไฟล์อย่าง Fund Fact Sheet ด้วยเช่นกัน สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าควรโฟกัสข้อมูลส่วนไหนก่อนดี ลองมาทำตาม 5 เคล็ดลับการอ่าน Fund Fact Sheet เบื้องต้น ดังนี้
1. ดูระดับความเสี่ยงของกองทุน
นักลงทุนควรเลือกซื้อกองทุนรวมให้เหมาะกับประสบการณ์การลงทุน ความเสี่ยงที่รับไหวและเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการ
เช่น หากตอนนี้มีอายุมากขึ้น ภาระทางการเงินรอบตัวเริ่มมีมากขึ้น ทั้งจากการซื้อบ้าน คอนโด และรถยนต์ แต่ยังต้องการสะสมผลตอบแทนเพื่อเป้าหมายเกษียณอายุ นักลงทุนก็สามารถเลือกลงทุนกองทุนรวมที่มีระดับความเสี่ยงตั้งแต่ 1 - 4 ที่เน้นการสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องในระยะยาวได้
2. พิจารณานโยบายและประเภทของกองทุน
กองทุนรวมแต่ละประเภทมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกัน ไม่เพียงแต่จะมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่กองทุนรวมคนละประเภทก็มีค่าธรรมเนียมในการลงทุนที่ไม่เท่ากันด้วย
ดังนั้น หากต้องการบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนกองทุนรวมให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนเป็นการวางแผนด้านต้นทุนในการลงทุน อย่าลืมพิจารณานโยบายการลงทุน กลยุทธ์ในการลงทุน ตลอดจนเงื่อนไขพิเศษอย่างนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน วันหยุดกองทุน ตลอดจนไทม์โซนของกองทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนต่างประเทศ
3. ตรวจสอบสัดส่วนการลงทุน
กองทุนรวมแต่ละตัวจะมีการระบุสัดส่วนของสินทรัพย์ที่นำไปลงทุน ตลอดจนสินทรัพย์ 5 อันดับแรกที่นำเงินไปลงทุน โดยนักลงทุนจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบสัดส่วนการลงทุนในส่วนนี้ เพื่อเป็นการวางแผนรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนในอนาคต
เช่น หากเป็นกองทุนรวมลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ นักลงทุนต้องพิจารณาถึงผลประกอบการ ความมั่นคง และสถานการณ์ของบริษัทแต่ละแห่งที่ทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไปร่วมลงทุน รวมไปถึงสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของการลงทุนด้วย
4. เช็กผลการดำเนินงานย้อนหลังควบคู่กับกลยุทธ์ของทางบลจ.
การตรวจสอบผลการดำเนินงานย้อนหลังสามารถช่วยให้นักลงทุนทราบถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุน ผลตอบแทนที่ผ่านมา ตลอดจนผลการบริหารที่สอดคล้องกับนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนที่ทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนได้นำเสนอไว้
เริ่มต้นพิจารณาได้ง่าย ๆ จากการเช็กตัวดัชนีชี้วัดก่อน ซึ่งหากเป็นกองทุนรวมนโยบายการลงทุนเชิงรุก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจะต้องสร้างผลการดำเนินงานที่เอาชนะดัชนีชี้วัดที่ผ่านมาให้ได้มากที่สุดอย่างต่อเนื่อง แต่หากพบว่าไม่สามารถบริหารกองทุนให้ตรงกับดัชนีชี้วัดที่ระบุไว้ นักลงทุนก็ควรพิจารณาความเสี่ยง ความผันผวน ตลอดจนการดำเนินงานด้านอื่น ๆ เอาไว้ให้ดีด้วย
5. คำนวณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งหมด
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน นอกจากเงินต้นที่ต้องใช้ในการซื้อกองทุนรวมแล้ว นักลงทุนยังต้องคำนวณ ‘ค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากกองทุน’ และ ‘ค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยลงทุน’ ด้วย
โดย ‘ค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากกองทุน’ จะเป็นการหักค่าธรรมเนียมออกจากค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ NAV (Net Asset Value) ที่อัปเดตทุกวัน แต่จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปี เช่น หากกองทุนรวมมีค่าธรรมเนียม 2% ต่อปี แปลว่า กองทุนจะหักค่า NAV ออกไป 2% / 365 วัน = 0.00547945% ต่อวัน
ในขณะที่ ‘ค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยลงทุน’ เป็นค่าใช้จ่ายที่คิดจากมูลค่าซื้อขาย มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนต้องการซื้อกองทุนรวมที่ราคา 15 บาท มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายอยู่ที่ 1% นักลงทุนจะต้องซื้อในราคา 15 + (1% ของ 15) = 15.15 บาท แต่หากต้องการขาย นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนอยู่ที่ 15 - (1% ของ 15) = 14.85 บาท
กองทุนแต่ละประเภท ความเสี่ยงแต่ละระดับ จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่แตกต่างกันจะมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันด้วย ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาและคำนวณค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้รอบคอบ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
การอ่าน Fund Fact Sheet ให้เข้าใจจำเป็นต้องอาศัยเวลาและการฝึกฝน โดยนักลงทุนที่สนใจซื้อกองทุนรวม แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะเลือกลงทุนกับกองทุนรวมตัวใด สามารถมาฝึกการอ่าน Fund Fact Sheet จากกองทุนรวมที่สนใจ พร้อมวางแผนซื้อกองทุนรวมได้ที่แอปฯ InnovestX ดาวน์โหลดได้ฟรีที่ App Store และ Google Play Store
คำเตือน
* การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน