ผลิตภัณฑ์

  1. หุ้น เป็นหุ้นส่วนบริษัท ด้วยเงินหลักร้อย
  2. กองทุน เปิดพอร์ตแบบอีซี่.. มีมืออาชีพคอยดูแลให้
  3. Intelligent Portfolios เปิดโหมดอัตโนมัติสำหรับดูแลการลงทุน
  4. สินทรัพย์ดิจิทัล การลงทุนบนสินทรัพย์แห่งอนาคต
  5. ตราสารหนี้และหุ้นกู้ ลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
  6. ตราสารอนุพันธ์ มองการณ์ไกล ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
  7. บริการยืมและให้ยืมสินทรัพย์ ปล่อยเช่า-ขอยืมหุ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน
  8. กองทุนส่วนบุคคล มีผู้จัดการช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้น
  9. คู่มือการใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา

แหล่งความรู้ด้านการลงทุน

  1. เริ่มลงทุนก้าวแรก เริ่มลงทุนก้าวแรก
  2. ลงทุนตามสินทรัพย์ ลงทุนตามสินทรัพย์
  3. บทวิเคราะห์การลงทุน บทวิเคราะห์การลงทุน
  4. แหล่งความรู้ครอบจักรวาลการลงทุนเพื่อทุกคน แหล่งความรู้ครอบจักรวาลการลงทุนเพื่อทุกคน

ข่าวสารและโปรโมชัน

  1. โปรโมชันและสิทธิพิเศษเพื่อคุณ
  2. อัปเดตข่าวสาร
  3. ประกาศ
  4. Point to invest
  5. INVX Point​
scbs image

โปรโมชันและสิทธิพิเศษ

พิเศษสำหรับลูกค้า Innovestx เท่านั้นใช้พอยต์แลกกองทุนรวมที่โดนใจ

ดูเพิ่มเติม

เกี่ยวกับเรา

  1. เกี่ยวกับเรา ร่วมเติบโตอย่างยั่งยืนไปกับเรา InnovestX
  2. ร่วมงานกับเรา ก้าวไปข้างหน้าแบบมีสไตล์
ค้นหาล่าสุด
เคลียร์
{{GetHitSearchValue.keywordTitle}}

สรุปภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทย 2024 และกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 1/2024

blog_list_heading
InnovestX Research
26 ม.ค. 2567;
ใช้เวลาอ่าน 5 นาที
2683
แชร์บทความนี้
test_blog_details_img

เนื้อหาโดยรวม

     แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดยังอยู่ใน “ตลาดหุ้นเอเชีย” เป็นส่วนใหญ่เนื่องจากมีโอกาสพบเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวจากการที่ FED ลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงสหรัฐฯ และยุโรปที่กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในปีนี้

    สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้สามารถปรับใช้ได้ 2 รูปแบบ ได้แก่

    1) การลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing) ผ่านการเลือกหุ้นคุณภาพ และรอการฟื้นตัวจากผลประกอบการในตลาดหุ้น และ

    2) การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Diversification) โดยเน้นกระจายความเสี่ยงไปยังหลายอุตสาหกรรม และกระจายการลงทุนไปยังตลาดทั่วโลก รวมถึงกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ และตราสารหนี้

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทย และกลยุทธ์การลงทุนปีมังกร

แนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกอาจเห็นภาพการชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ จากการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวของสหรัฐฯ แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงในปีนี้ก็ตาม รวมถึงภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้ดีในปีที่แล้ว ส่งผลให้อาจเห็นภาพการชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากภาวะสงครามยืดเยื้อ

ปัจจุบันนักวิเคราะห์มองว่าสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ยังคงส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันโดยทั่วไป โดยเชื่อว่าสงครามตะวันออกกลางจะช่วยจุดชนวนให้ตลาดมี Upside มากขึ้น แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่เกิดราคาพรีเมียมที่เกิดจากสงคราม (War Premium) มากเท่าที่ควรก็ตาม แต่นักลงทุนก็ควรพึงระวัง 2 สิ่งที่อาจทำให้กระทบต่อราคาน้ำมัน ได้แก่

1) สงครามและความขัดแย้งจะมีระยะเวลาอีกยาวนานแค่ไหน

2) สงครามและความขัดแย้งจะลุกลามไปยังประเทศรอบข้าง โดยเฉพาะประเทศที่มีฐานขุดเจาะหรือผลิตน้ำมันหรือไม่ ?

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทย และกลยุทธ์การลงทุนปีมังกร

คาดการณ์เศรษฐกิจโลกและไทย ณ สิ้นปี 2024

1) Fed Fund Rate อยู่ที่ 4.40%

2) ค่าเงินบาทวิ่งอยู่ในกรอบราคา 35.50 - 36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

3) อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ที่ 2.50 - 2.75%

4) ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

สถานการณ์ตลาดหุ้นโลก

ตลาดหุ้นที่ดูมีแนวโน้มการฟื้นตัวสูง ได้แก่ “ตลาดหุ้นเอเชีย” โดยถือเป็นตลาดที่มี Performance ต่ำเป็นอย่างมากในปีที่แล้ว และด้วยศักยภาพด้านราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริง (Under Value) ทำให้ตลาดเอเชียกลายเป็นตลาดที่น่าสนใจมากกว่าตลาดโลกอย่างยุโรปที่ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นเดียวกัน

เศรษฐกิจไทย

แม้ว่าในปีที่แล้วจะอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดการณ์มาก แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลัง จะได้รับแรงหนุนเชิงบวกจากมาตรการ Digital Wallet (ดิจิทัลวอลเล็ต)ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากถึง 4.1% แต่หากมาตรการไม่ผ่านเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 3.2% และด้วยตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มากกว่าปีที่แล้ว ทำให้ประเทศไทยอาจไม่ต้องลดดอกเบี้ยในปีนี้ พร้อมส่งผลให้เงินเฟ้อยังคงติดลบเป็นเดือนที่ 4 (ในเดือนมกราคม) โดยนักวิเคราะห์คาดว่าแบงก์ชาติจะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงกลางปี

ตลาดหุ้นจีน

แม้จะดูมีความเสี่ยงสูงจากภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์ที่ล้มละลายและตัวเลขการจ้างงานที่ร่วงลง แต่ถือเป็นโอกาสที่ดีอีกครั้งหลังจากที่ภาครัฐมีนโยบายเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น โดยได้อัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านหยวนมากระตุ้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัว 3.8% ในปีที่แล้ว ส่งผลให้ภาพเศรษฐกิจจีนยังคงเกิดการชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจของจีนมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก และยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้

ตลาดยุโรป

กลายเป็นตลาดที่น่าจับตามองและน่าเป็นห่วงที่สุด เนื่องจากมีแนวโน้มเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเต็มที่ ทำให้ภาพการลงทุนในตลาดยุโรปยังถือว่ามี Performance ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก

กลยุทธ์การลงทุนปีมังกรทองแนะนำโดย InnovestX

ตลาดหุ้นทั่วโลกในปัจจุบันจะไม่ใช่ Bad News is Good News อีกต่อไป แต่จะเป็น Bad News is Bad News ส่งผลให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะยังคงผันผวนไปอีกสักระยะ

การลงทุนควรมุ่งเป้าไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากกว่าตลาดหุ้นยุโรปโดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ที่อาจเติบโตขึ้นตามกำไรในไตรมาสที่ 2 ก่อนที่ในช่วงครึ่งหลังของปีอาจต้องย้ายไปหาหุ้นคุณภาพดีที่รอการฟื้นตัว ได้แก่ Wells Fargo, Home Depot, Pfizer และ Disney

กลยุทธ์การลงทุนในปี้นี้ยังคงอยู่ในหมวดนวัตกรรม (Innovation)

เนื่องจากหุ้นสหรัฐฯ ทำ Performance ได้ดีในปีที่แล้ว รวมถึงสถานการณ์ในตลาดหุ้นปัจจุบันที่ไม่ใช่ยุคแห่งการตัดราคากันแบบในอดีต กล่าวคือ แม้ธุรกิจดีไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นหุ้นที่ดี แต่ผลประกอบการ ที่ดีบ่งบอกว่าหุ้นใดคือหุ้นที่ดี ตลาดหุ้นไทย ตลอดปีจะยังคงผันผวนต่อไปจากวิกฤติหุ้นกู้และวิกฤติศรัทธา รวมถึงความคาดหวังของ Digital Wallet (ดิจิทัลวอลเล็ต) ที่ลดลง แต่การลดดอกเบี้ยนโยบายของ FED คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงและส่งผลให้หุ้นไทยฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นการเลือกลงทุนแบบปลอดภัยโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging (DCA) ถือว่าเหมาะมากในเวลานี้ ทั้งนี้ควรโฟกัสไปที่หุ้นที่มีคุณภาพและรอการฟื้นตัวของผลประกอบการ ได้แก่ AMATA BBL BEM BDMS CPALL CRC GULF OR SCC และ SCGP

กดอ่านเพิ่มเติมสำหรับผลประกอบการหุ้นรายตัวด้านบนจาก InnovestX 2024 Yearbook 2024 – A Year of Value Investing ภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุนประจำปี2024 คลิก

กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นจีน

การลงทุนในจีนต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เนื่องจากรัฐบาลนำความเสี่ยงภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์ไปผูกไว้กับธนาคาร ซึ่งคิดเป็น 25% ของ GDP จีน ส่งผลให้การลงทุนหุ้นจีนอาจต้องขยายกรอบการลงทุนให้นานกว่าเดิม 3-4 เท่า

โดย InnovestX มองว่าตลาดหุ้นจีนมีกรอบการลงทุนเพียงไตรมาสที่ 2 และ 3 เท่านั้น และยังเป็นตลาดที่ลงทุนได้ยากเทียบเท่ากับตลาดหุ้นไทย InnovestX มองว่า แม้ว่าตลาดหุ้นในภาพรวมจะมีแนวโน้มผันผวนสูงขึ้น มีโอกาสลงมากกว่าขึ้น ทำให้ตราสารหน ี้เป็นตลาดที่น่าสนใจมากกว่าตราสารทุน เนื่องจาก FED ประกาศว่าจะเกิดดอกเบี้ยขาลงในปีนี้อย่างน้อย 2 ครั้ง ส่งผลให้ “ตราสารหนี้คุณภาพดี” และ “ทองคำ” เป็นอีกตัวเลือกในการลงทุนที่จะช่วยลดความผันผวนจากตลาดได้

ความเสี่ยงที่ต้องติดตามในปี 2024

1) ความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitic)

2) ความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย

3) ความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภาวะดอกเบี้ยสูง

4) ความเสี่ยงจากภาคส่วนด้านการเงินการธนาคารในจีน

5) ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทไทย

สรุปภาพรวม

แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดยังอยู่ใน “ตลาดหุ้นเอเชีย” เป็นส่วนใหญ่เนื่องจากมีโอกาสพบเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวจากการที่ FED ลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงสหรัฐฯ และยุโรปที่กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในปีนี้ สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้สามารถปรับใช้ได้ 2 รูปแบบ ได้แก่

1) การลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing) ผ่านการเลือกหุ้นคุณภาพ และรอการฟื้นตัวจากผลประกอบการในตลาดหุ้น และ

2) การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Diversification) โดยเน้นกระจายความเสี่ยงไปยังหลายอุตสาหกรรม และกระจายการลงทุนไปยังตลาดทั่วโลก รวมถึงกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ และตราสารหนี้

สรุป Session คุณสุทธิชัย คุ้มวรชัย นักวิจัยการลงทุนอาวุโส ฝ่าย กลยุทธ์การลงทุน


สรุป Session คุณสุทธิชัย คุ้มวรชัย นักวิจัยการลงทุนอาวุโส ฝ่าย  กลยุทธ์การลงทุน

1) Fed Fund Rate จะร่วงลงเหลือ +4.40% ลดลง 100 bps จากปี 2023

2) ค่าเงินบาทจะอยู่ในกรอบ 35.50 - 36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

3) ดอกเบี้ยนโยบายไทยจะร่วงลงเหลือ 2.50 - 2.75% คาดการณ์เงินเฟ้อไทยยังติดลบอยู่อีก 1-2 เดือน ก่อนมีการเร่งตัวขึ้นในช่วงกลางปี แต่ประเทศไทยอาจคงดอกเบี้ยในระดับนี้จนถึงสิ้นปี 2024

4) ราคาน้ำมันเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ร่วงลงจากค่าเฉลี่ยปีก่อนที่อยู่ระหว่าง 82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเล็กน้อย

5) ปัจจุบันตลาดยังไม่เกิด War Premium มากอย่างที่ควรเป็น แต่สงครามตะวันออกกลางอาจทำให้ตลาดเกิด Up Side ได้

6) ตลาดหุ้นเอเชียมีความน่าสนใจมากกว่าตลาดโลก เนื่องจาก Performance ในปีที่แล้วที่ต่ำทำให้มีโอกาสพบเห็นการฟื้นตัวสูง ในขณะที่ตลาดยุโรปและสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย 7) การลงทุนใน “ตราสารหนี้” ยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่ควรย้ายการลงทุนมาในช่วงไตรมาส 2 ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายเริ่มมีการปรับตัวลดลง

8) เศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัวจากผลกระทบของการลดดอกเบี้ยนโยบายในประเทศ แต่ Digital Wallet จะเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญที่ผลักดันให้ GDP ของประเทศไทยเติบโต

9) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจมีการฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 แต่การเกิด Sector Rotation ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีไปสู่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ

สรุป Session ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน


สรุป Session ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ นักเศรษฐกิจอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน

1)เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้ดีในปี 2023 แต่จะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญในปี 2024

2) เศรษฐกิจจีน แม้ดูมีความเสี่ยงสูงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ล้มละลายและตัวเลขการจ้างงานที่ต่ำ แต่ภาครัฐมีนโยบายเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น

3) จีนเร่งกระตุ้นโครงสร้างพื้นฐานจากเงิน 1 ล้านล้านหยวน ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ภาพการเกิดวิกฤติยังพบเห็นได้ยาก และไม่น่าเกิดในเร็ว ๆ นี้

4) เศรษฐกิจไทยในปีที่แล้วอ่อนแอกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ ต้องติดตามมาตการของ

ภาครัฐ ทั้งเรื่องการเงินและการคลัง รวมถึง Digital Wallet ถ้าทำให้ส่งผลให้เศรษฐ

กิจขยายตัว +4.1% แต่หากทำไม่ได้จะขยายตัวเพียง +3.2%

5) มาตรการด้านพลังงานในประเทศไทย ช่วยทำให้เงินเฟ้อไม่สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น

6) ประเทศไทยอาจไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยในปีนี้ ภาพของเงินเฟ้อประเทศไทยจะยังคงฟื้นตัว และอาจพบเห็นเงินเฟ้อติดลบเป็นระยะเวลา 4 เดือนติดต่อกัน (เงินเฟ้อติดลบเดือนมกราคมอีกเพียง 1 เดือน)

7) ถ้าเศรษฐกิจไทยยังม้วนตัวลง แบงก์ชาติอาจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปีนี้

สรุป Session คุณสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักลงทุนกลยุทธ์อาวุโส หุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน


สรุป Session คุณสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักลงทุนกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน

1)ตลาดการลงทุนจะไม่ใช่ Bad News is Good News อีกต่อไป แต่จะเข้าสู่ Bad News is Bad News และยังคงเห็นตลาดหุ้นผันผวนไปอีกสักระยะ

2) การลงทุนควรเน้นไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากราคาหุ้นจะ Peak สุดตามการเติบโตของกำไรในไตรมาสที่ 2 ก่อนที่ราคาจะหดตัวลงในเวลาต่อมา

3) กลยุทธ์การลงทุนในครึ่งปีหลัง อาจต้องย้ายเม็ดเงินออกจากหุ้นเทคฯ ไปหาหุ้นที่มีการฟื้นตัว เช่น Well Fargo, Home Depot, Pfizer และ Disney

4) ตลาดยุโรปยังมีปัญหามากกว่าตลาดทั่วโลก และมีแนวโน้มที่จะย่ำแย่ตลอดทั้งปี ส่งผลให้ผลตอบแทนยังสู้หุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้

5) การลงทุนในจีนต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เนื่องจากรัฐบาลนำความเสี่ยงภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์ไปผูกไว้กับธนาคาร ซึ่งคิดเป็น 25% ของ GDP จีน ส่งผลให้การลงทุนหุ้นจีนอาจต้องขยายกรอบการลงทุนให้นานกว่าเดิม 3-4 เท่า

6) ตลาดหุ้นจีนมีกรอบการลงทุนเพียงไตรมาสที่ 2 และ 3 เท่านั้น และยังเป็นตลาดที่ลงทุนได้ยากเทียบเท่ากับตลาดหุ้นไทย

7) FED ลดดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ

8) พันธบัตรรัฐบาลและ REITs ให้ผลตอบแทนไม่ต่างจากหุ้น ส่งผลให้อาจต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนมาถือพันธบัตรรัฐบาลมากยิ่งขึ้น

9) อัตราการเบี้ยวชำระหนี้หุ้นกู้ยังคงมีต่ำ และอาจส่งผลกระทบสูงสุด 5 หมื่นล้านบาท ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่กระตุ้นต่อตลาดหุ้นมากเท่าที่ควร จึงยังไม่เป็นเรื่องที่น่ากังวล

10) ความเสี่ยงที่ต้องติดตามในปี 2024 ได้แก่ ด้านภูมิรัฐศาสตร์, ด้านเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงเกิดภาวะถดถอย, ความเสี่ยงจากภาวะดอกเบี้ยสูง, ความเสี่ยงภาคธนาคารในประเทศจีน และความเสี่ยงจากากรผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ในประเทศไทย

 

ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก https://bit.ly/respublisher

ที่มา : งานแถลงข่าวของ InnovestX

คุณสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด | คุณพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คุณสุทธิชัย คุ้มวรชัย นักวิจัยการลงทุนอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คุณสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

หัวข้ออื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ
กลับด้านบน