ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา SET ปรับตัวขึ้น 1.36% สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค หลังมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่เข้ามาขานรับประธาน Fed ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้และเชื่อมั่นลดเงินเฟ้อตามเป้าที่ 2% อีกทั้งการส่งออกจีนยังฟื้นตัวท่ามกลางการดัมพ์ราคาของสินค้าจีนทั่วโลกและรัฐบาลจีนส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นช่วยสนับสนุนตลาดได้ระดับหนึ่ง

โดยมีแรงซื้อหลัก นำโดย หุ้นกลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP TOP GULF BANPU) และกลุ่มปิโตรเคมี (IVL PTTGC)

ส่วนหุ้นที่มีแรงขาย นำโดย กลุ่ม ธพ. (BBL KTB TTB) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA SVI)

อย่างไรก็ดีนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิใน SET ราว 2.6 พันลบ. ทำให้เดือน 1-15 มี.ค. มีแรงขายสุทธิราว 3.4 พันลบ. หลังจากที่มียอดซื้อสุทธิในเดือน ก.พ. 2.86 พันลบ.

ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องและลุ้นกลับมายืนเหนือ 1400 จุด โดยในประเทศจะมีความคาดหวังต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ ขณะที่ต่างประเทศคาดว่าการประชุมนโยบายการเงินของ FED จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้

1)หุ้นเก็งกำไรจากราคาหุ้น Laggard, มีแนวโน้มจ่ายปันผลดีและให้ Div. payout ratio เพิ่มขึ้น และมีโอกาสซื้อขายด้วย PER Multiple สูงขึ้น เลือก กลุ่มแบงก์ (BBL KBANK) กลุ่มอสังหา (AP) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC)
2)หุ้นเก็งกำไรเชิงเทคนิคหลังราคหุ้น Breakout Downtrend และเริ่มเห็น NVDR พลิกกลับมา Net Buy ในเดือน มี.ค. เลือก IVL GULF BDMS
3)หุ้นเก็งกำไรจากคาดได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการผลิต (โดยเฉพาะจีน) และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับ Top Pick 2Q67 เลือก AOT GFPT GULF KCE SCGP
4)นักลงทุนระยะยาวแนะนำลงทุนสะสมแบบ DCA หลังราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก และผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง เลือก BBL BDMS BEM CPALL PTT และ SCC

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดเอกสารได้จากปุ่มด้านล่างครับ

ดาวน์โหลดเอกสาร คลิก!