
คัดมาแล้วว่าดี
กองทุนที่ต้องมีติดพอร์ต
ไม่มีภาษีหุ้นต่างประเทศ
DEAL
ที่คัดมาแล้วว่าดี เพิ่มโอกาสทำกำไร


สหรัฐฯ S&P500
SCBS&P500
(ชนิดจ่ายเงินปันผล) และ
SCBS&P500A
(ชนิดสะสมมูลค่า)


- รายการส่งเสริมการขายนี้ให้สิทธิ์เฉพาะบุคคลธรรมดาที่มีบัญชีลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ที่ทำรายการซื้อกองทุนกับ InnovestX จะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อหน่วยลงทุน (Front-end fee) และค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า (Switching in fee) สำหรับกองทุนที่เข้าร่วมรายการ
- ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ถึง 30 กันยายน 2568 สำหรับรายการซื้อกองทุนรวม SCBS&P500A, SCBS&P500, PRINCIPAL GOPP-A, SCBRS2000(A), EHD และ PRINCIPAL VNEQ-A เท่านั้น
- สำหรับการยกเว้นค่าธรรมเนียม นับเฉพาะค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อหน่วยลงทุน (Front-end fee) และค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า (Switching in fee) เท่านั้น ไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่น เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ, ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage Fee) และอื่นๆ (ถ้ามี)
- มูลค่าขั้นต่ำของการลงทุน เป็นไปตามเงื่อนไขการลงทุนของแต่ละกองทุนนั้นๆ
- ผู้ลงทุนสามารถทำรายการซื้อกองทุนได้ทุกช่องทางการลงทุนกับ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์
- การยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวในโครงการนี้ เป็นการยกเว้นโดยบลจ. ที่เข้าร่วมโครงการ สำหรับช่องทางการซื้อขายผ่าน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เท่านั้น
- การแสดงข้อมูลอัตราค่าธรรมเนียมในแอปพลิเคชัน InnovestX และ Fund Fact Sheet จะยังคงแสดงเป็นค่าธรรมเนียมปกติ แต่ในขั้นตอนธุรกรรมการซื้อผู้ลงทุนจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อหน่วยลงทุน (Front-end fee) ในขั้นตอนนี้แบบอัตโนมัติ
- สำหรับรายการซื้อกองทุนที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะไม่ได้รับคะแนนสะสม INVX Point
- ลูกค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์นี้ไม่สามารถแลกเปลี่ยน หรือทอนเป็นเงินสด หรือเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งอื่นใด หรือโอนสิทธิ์ให้แก่บุคคลอื่นและไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดหรือโปรโมชันอื่นๆ ได้
- บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ข้อกำหนด รายละเอียด สิทธิประโยชน์ และยกเลิกกิจกรรมนี้โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และในกรณีมีข้อพิพาท ผลการพิจารณาและคำตัดสินของบริษัทฯ ถือเป็นสิทธิอันเด็ดขาดและถือเป็นที่สุด
- สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทางอีเมลได้ที่ [email protected] หรือส่งข้อความบนเพจเฟซบุ๊ก InnovestX
กองทุนที่ร่วมโครงการ | รายละเอียดของกองทุนที่ร่วมโครงการเบื้องต้น |
SCBS&P500A | ลงทุนครอบคลุมหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทในสหรัฐฯ (ชนิดสะสมมูลค่า และ ไม่จ่ายเงินปันผล) |
SCBS&P500 | ลงทุนครอบคลุมหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทในสหรัฐฯ (ชนิดจ่ายเงินปันผล) |
PRINCIPAL GOPP-A | ลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่มีคุณภาพดีและเติบโตสูง 37 บริษัท (ชนิดสะสมมูลค่า) |
SCBRS2000(A) | ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วสหรัฐฯ กว่า 2,000 บริษัทที่มีโอกาสเติบโตเร็วกว่าหุ้นขนาดใหญ่ (ชนิดสะสมมูลค่า) |
EHD | ลงทุนในหุ้นยุโรปที่มีเงินปันผลที่น่าสนใจและยั่งยืนราว 30-50 บริษัท (ชนิดสะสมมูลค่า) (กองทุนนี้ไม่จ่ายปันผล) |
PRINCIPAL VNEQ-A | ลงทุนในหุ้นเวียดนามโดยตรง คัดเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีธรรมาภิบาล (ชนิดสะสมมูลค่า) |

- S&P500 Index มีมูลค่าตลาดกว่า 52 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (Jun 2025) ครอบคลุมประมาณ 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ
- S&P500 Index เป็นดัชนีที่มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายหุ้นได้อย่างสะดวกรวดเร็ว มีเสถียรภาพสูง ด้านกฎระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นมีความโปร่งใส ชัดเจน และมีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด
- มีการกระจายการลงทุนครอบคลุมหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทในสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเทคโนโลยีกลุ่มการเงิน กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มบริโภค เป็นต้น เสมือนได้ถือหุ้น 500 บริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ในกองเดียว
- ประกอบด้วยหุ้นชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากมายและเป็นผู้นำตลาดในด้านต่างๆ เช่น Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Nvidia และ Tesla เป็นต้น
- ลงทุนผ่าน iShares Core S&P500 ETF ซึ่งบริหารแบบ Passive Managed ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนที่เป็นประเภท Active Managed
- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (Jun 2025):
- - 3 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 19.7% ต่อปี
- - 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 16.6% ต่อปี
- - 10 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 13.6% ต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 0.50%)
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตระยะยาว โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่แข็งแกร่ง อัตรากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในระดับสูง และได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากนโยบายการคลังเชิงขยาย ภายหลังการผ่านร่างงบประมาณ One Big Beautiful Bill (OBBB) ซึ่งมุ่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
- ขณะเดียวกัน แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในช่วงปลายปีอาจช่วยลดต้นทุนทางการเงิน ส่งผลเชิงบวก ต่อทั้ง sentiment การบริโภคและตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ Forward P/E ราว 22 เท่า ซึ่งสะท้อนมูลค่าที่ค่อนข้างตึงตัวในเชิง Valuation แม้แนวโน้มการเติบโตยังคงแข็งแกร่ง จึงแนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์ การทยอยสะสม แทนการไล่ซื้อ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด

- Russell 2000 Index เป็นดัชนีที่วัดผลการดำเนินงานของหุ้นขนาดเล็กในสหรัฐฯ โดยประกอบด้วยหุ้นจำนวน 2,000 บริษัท ที่มีขนาดเล็กสุดในกลุ่ม Russell 3000 Index (ดัชนีที่รวมหุ้น 3,000 ตัวแรกที่มีมูลค่าตลาดใหญ่สุดในสหรัฐฯ)
- ลงทุนในกองทุนหลัก iShares Russell 2000 ETF (IWM) ที่มีขนาดกองทุนราว 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (Jun 2025) มีการกระจายการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วสหรัฐฯ กว่า 2,000 บริษัทที่มีโอกาสเติบโตเร็วกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มการเงิน กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มเทคโนโลยี เป็นต้น
- กองทุนหลักมีลักษณะการบริหารแบบ Passive Managed โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายรวมที่ต่ำมากเพียง 0.19% ต่อปี ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนที่เป็นประเภท Active Managed
- • ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (Jun 2025):
- - 3 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 9.9% ต่อปี
- - 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 9.9% ต่อปี
- - 10 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 7.1% ต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 0.54%)
- หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก (Small Caps) มีแนวโน้มได้รับประโยชน์โดยตรงจากงบประมาณ One Big Beautiful Bill (OBBB) โดยเฉพาะมาตรการต่ออายุการลดภาษีนิติบุคคล รวมถึงการยกเว้นภาษีในส่วนของทิปและค่าล่วงเวลา ซึ่งล้วนเป็นมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศโดยตรง เนื่องจากหุ้นขนาดเล็กมีสัดส่วนรายได้ที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศสหรัฐฯ ในระดับสูง
- นอกจากนี้ หากเฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี จะเป็นปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับหุ้นขนาดเล็ก เนื่องจากบริษัทขนาดเล็กส่วนใหญ่มักมีภาระหนี้ในรูปแบบดอกเบี้ยลอยตัว (floating rate debt) การลดดอกเบี้ยจึงช่วยลด ต้นทุนทางการเงินได้มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และอาจส่งผลเชิงบวกต่อผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ
- อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีความผันผวนสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่จากโครงสร้างทางธุรกิจที่เปราะบางกว่า และฐานรายได้ที่จำกัดกว่า นักลงทุนจึงควรพิจารณาสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้และทยอยกระจายลงทุนในกลุ่มดังกล่าวเพื่อโอกาสการเติบโตในระยะกลางถึงยาว

- ลงทุนในกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds Global Opportunity Fund ที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่มีคุณภาพดี และเติบโตสูง 37 บริษัท
- กองทุนถูกบริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนกว่า 22 ปี ร่วมกับทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอีกกว่า 22 ท่าน
- คัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up และ High Conviction ในบริษัทที่มีความสามารถในการปรับตัวตามภาวะการเปลี่ยนแปลง ของกระแสโลก มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจ มีความแข็งแกร่งทางการเงิน และมีความรับผิดชอบ ต่อสิ่งแวดล้อม
- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (Jun 2025):
- - 1 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 33.0%
- - 3 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 32.0% ต่อปี
- - 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 12.0% ต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.50%)
- การกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นโลกถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการบริหารพอร์ตการลงทุนระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ และช่วยสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุนมากยิ่งขึ้น
- นอกเหนือจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว ตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นถือเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจจากทั้งมุมมองเศรษฐกิจและมูลค่าตลาด (Valuation) โดยยุโรปเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายการเงินที่ยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย ขณะที่ญี่ปุ่นกำลังได้รับแรงหนุนจากการปรับโครงสร้างเชิงบวกในภาคธุรกิจ และการเร่งปรับปรุงธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน
- ดังนั้นการผสมผสานหุ้นทั่วโลกซึ่งมีผู้จัดการกองทุนชั้นนำคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ มีความมั่นคง มีแนวโน้มเติบโตสูง และสามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก จะช่วยให้พอร์ตลงทุนมีศักยภาพเติบโต ในระยะยาวและช่วยกระจายความเสี่ยงมากขึ้นในเชิงภูมิภาค

- ลงทุนในกองทุนหลัก Goldman Sachs Eurozone equity Income ซึ่งกระจายลงทุนในหุ้นยุโรปที่มีเงินปันผลที่น่าสนใจและยั่งยืนราว 30-50 บริษัท โดยเชื่อว่าผลตอบแทนจากปันผลเป็นส่วนหลักในการสร้างผลตอบแทน และการที่มีปันผลที่สูง จะเป็นเบาะรองรับในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง
- ถูกบริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุน 2 ท่านที่มีประสบการณ์เฉลี่ยกว่า 28 ปี และมีทีมนักวิเคราะห์หุ้นยุโรปจำนวน 8 ท่าน ซึ่งมีประสบการณ์เฉลี่ยกว่า 21 ปี
- คัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up ในสไตล์ Core-value โดยหุ้นส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางที่มีขนาดบริษัท ตั้งแต่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป โดยจะต้องเป็นบริษัทที่มีเงินปันผลยั่งยืน โดยมาจะดูจากโมเดลธุรกิจที่ดีมีความมั่นคง และมีระดับราคาที่น่าสนใจมาประกอบกัน
- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (Jun 2025):
- - 1 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 12.9% ต่อปี
- - 3 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 15.9% ต่อปี
- - 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 12.9% ต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.50%)
- กิจกรรมทางเศรษฐกิจยุโรปส่งสัญญาณเชิงบวก ภาคการบริการที่ยังคงขยายตัว ในขณะที่ภาคการผลิตมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยกิจกรรมในภาคบริการยังคงอยู่ในภาวะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และกิจกรรมในภาคการผลิตมีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
- การใช้นโยบายการคลังในกลุ่มประเทศยุโรปที่ผ่อนคลายมากขึ้น นำโดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการเสริมสร้างศักยภาพด้านการป้องกันประเทศของเยอรมนี มีแนวโน้มช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองว่าเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มเติบโตเร่งตัวขึ้น โดยอ้างอิงจากรายงานของ World Bank เดือน มิ.ย. 2025 ที่มองว่า เศรษฐกิจ ยุโรปจะเติบโตขึ้น 0.7%, 0.8% และ 1.0% ในปี 2025-2027 ตามลำดับ
- คาดว่า EPS ของดัชนี STOXX 600 จะเริ่มเติบโตอย่างชัดเจนในปี 2026 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการคลังของประเทศในยุโรป ซึ่งคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างเต็มที่ ในปี 2026 เราเชื่อว่าตลาดหุ้นยุโรปจะเริ่มรับรู้ปัจจัยบวกนี้ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2025 จากนักลงทุนที่เริ่มมองหาโอกาส การลงทุนผ่านใช้การเติบโตของ EPS ใน 2026 เป็นปัจจัยช่วยในการตัดสินใจลงทุน ในขณะที่ Valuation ยังไม่แพง โดย STOXX 600 มี FWD PE อยู่ที่ระดับราว 14.65 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง

- กองทุนรวมหุ้นเวียดนามกองทุนแรกในไทยที่ถูกจัดตั้งในปี 2017
- เน้นลงทุนในหุ้นเวียดนามโดยตรง ซึ่งพอร์ตการลงทุนบริหารโดยทีมผู้จัดการประสบการณ์สูงเฉลี่ยกว่า 11 ปี โดยประกอบด้วยกองทุนชาวไทยและเวียดนามรวม 7 ท่าน ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลในเวียดนามได้โดยตรง รวมถึงการทำ Company Visit บริษัทเวียดนามที่เข้าลงทุน
- ใช้นโยบายการลงทุนเชิงรุก คัดเลือกหุ้นเวียดนาม 20-30 ตัว โดยวิธี FMV (Fundamental, Momentum, Valuation) และคัดเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีธรรมาภิบาล
- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน (Jun 2025):
- - 1 ปีย้อนหลังเฉลี่ย -11.4%
- - 3 ปีย้อนหลังเฉลี่ย -1.1% ต่อปี
- - 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 11.3% ต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.50%)
- ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี จากความคาดหวังว่าเวียดนามอาจได้รับการอัปเกรดสถานะสู่กลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดย FTSE ในรอบการประเมินเดือน ก.ย. 2025 จากพัฒนาการเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น การยกเลิกข้อกำหนด Pre-funding การเปิดงานระบบซื้อขาย KRX และความพยายามต่อเนื่องในการอำนวยความสะดวก ให้แก่นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งหากเวียดนามได้รับการอัปเกรดสู่ FTSE EM คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเวียดนาม รวมประมาณ 3-8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- เศรษฐกิจเวียดนามยังคงขยายตัวในระดับสูง โดยทางการเวียดนามปรับเป้าหมายการเติบโตของ GDP ในปี 2025 ขึ้นสู่ระดับ 8.3-8.5% จากเดิมที่ 8% นอกจากนี้ GDP เวียดนามไตรมาสที่ 2/2025 ขยายตัวถึง 7.96% แม้เผชิญกับการขึ้นภาษี ของสหรัฐฯ โดยรัฐบาลเวียดนามยังคงใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลดภาษี Vat เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ หนุนให้เศรษฐกิจยังคงมีแนวโน้มขยายตัวขึ้น
- EPS Growth ของเวียดนามมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง อ้างอิงจาก Bloomberg Consensus ประเมินว่า VN Index จะมี EPS Growth ในปี 2025 ราว 34% ในขณะที่มี Fwd PE อยู่ที่ระดับ 10.9 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง
เริ่มลงทุนกองทุนรวมกับ InnovestX
