ผลิตภัณฑ์

  1. หุ้น เป็นหุ้นส่วนบริษัท ด้วยเงินหลักร้อย
  2. กองทุน เปิดพอร์ตแบบอีซี่.. มีมืออาชีพคอยดูแลให้
  3. Intelligent Portfolios เปิดโหมดอัตโนมัติสำหรับดูแลการลงทุน
  4. สินทรัพย์ดิจิทัล การลงทุนบนสินทรัพย์แห่งอนาคต
  5. ตราสารหนี้และหุ้นกู้ ลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
  6. ตราสารอนุพันธ์ มองการณ์ไกล ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
  7. บริการยืมและให้ยืมสินทรัพย์ ปล่อยเช่า-ขอยืมหุ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน
  8. กองทุนส่วนบุคคล มีผู้จัดการช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้น
  9. คู่มือการใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา

แหล่งความรู้ด้านการลงทุน

  1. เริ่มลงทุนก้าวแรก เริ่มลงทุนก้าวแรก
  2. ลงทุนตามสินทรัพย์ ลงทุนตามสินทรัพย์
  3. บทวิเคราะห์การลงทุน บทวิเคราะห์การลงทุน
  4. แหล่งความรู้ครอบจักรวาลการลงทุนเพื่อทุกคน แหล่งความรู้ครอบจักรวาลการลงทุนเพื่อทุกคน

ข่าวสารและโปรโมชัน

  1. โปรโมชันและสิทธิพิเศษเพื่อคุณ
  2. อัปเดตข่าวสาร
  3. ประกาศ
  4. Point to invest
  5. INVX Point​
scbs image

โปรโมชันและสิทธิพิเศษ

พิเศษสำหรับลูกค้า Innovestx เท่านั้นใช้พอยต์แลกกองทุนรวมที่โดนใจ

ดูเพิ่มเติม

เกี่ยวกับเรา

  1. เกี่ยวกับเรา ร่วมเติบโตอย่างยั่งยืนไปกับเรา InnovestX
  2. ร่วมงานกับเรา ก้าวไปข้างหน้าแบบมีสไตล์
ค้นหาล่าสุด
เคลียร์
{{GetHitSearchValue.keywordTitle}}
แชร์บทความนี้

 

 

บล.ไทยพาณิชย์ มองวัฏจักรเศรษฐกิจกำลังจะเปลี่ยนจากภาวะ Reflation เข้าสู่ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น) โดยประเมินระดับเหมาะสมของ SET Index ปี 2565 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,600 จุด แนะนำกลยุทธ์การลงทุน ถือครองหุ้นขนาดใหญ่และกลุ่มหุ้นเชิงรับที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งและงบดุลแข็งแรงเพื่อลดความผันผวนและป้องกันผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หุ้นแนะนำใน 4Q21 คือ BEM KCE OSP SECURE และ ZEN

 

          นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่าวัฏจักรเศรษฐกิจกำลังจะเปลี่ยนจากภาวะ Reflation สู่ภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น) ตลาดปรับลดมุมมองเกี่ยวกับการเติบโตลงโดยมีสาเหตุมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และการเติบโตของจีน ในขณะที่ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสืบเนื่องมาจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานองค์ประกอบความกังวลที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง คือ ความเสี่ยงจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าและบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีนรวมถึงการปรับลดวงเงิน QE ของเฟด ทั้งนี้คาดเฟดจะประกาศลด QE จริงใน 4Q21 การปรับลดวงเงินมาตรการซื้อสินทรัพย์ (QE tapering) อาจจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและเพิ่มความเสี่ยงให้กับสินทรัพย์ทางการเงิน เมื่อสินทรัพย์รวมของธนาคารกลางปรับตัวลดลง ผลตอบแทนของตลาดจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ส่วนความกังวลจากประเทศจีน คือ กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นของสถาบันการเงินส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ตัวอย่างเช่น กรณีของบริษัท Evergrande ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับสองในจีนมีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ นอกจากนี้เมื่อ yield curve เปลี่ยนเป็น Bear หรือ Bull flattening ผลตอบแทนโดยรวมของสินทรัพย์เสี่ยง (รวมถึง SET) ยังคงเป็นบวกแต่จะลดลงสู่ตัวเลขหลักเดียว

 

          สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ตัวเลขเศรษฐกิจไทยล่าสุดแสดงถึงการปรับตัวดีขึ้นบ้างหลังจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เริ่มปรับตัวลดลงตามลำดับ ในขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับมากกว่า 500,000 คนต่อวัน ส่งผลทำให้รัฐบาลประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในจังหวัดพื้นที่สีแดง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนก.ค. ส่งสัญญาณถึงการปรับตัวแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ดังนั้นเราจึงยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไว้ที่ ประมาณ 1% ในปีนี้ ลดลงจากที่ คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2% โดยมีสาเหตุมาจากมาตรการล็อกดาวน์รอบล่าสุด เราเชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 และการทยอยกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกับโมเดลของSCBS

 

 

 

 

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาสที่ 4/64 โดยปกติแล้วไตรมาส 4 เป็นไตรมาสที่แข็งแกร่งและผลตอบแทนเป็นบวก โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย4% และปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 60%ในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่ออิงกับข้อมูลในอดีต นอกจากนี้ไตรมาส 4 ยังเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดสาหรับหุ้นที่มี beta สูง  เช่น หุ้นขนาดเล็ก หุ้นคุณค่า และหุ้นวัฏจักร แต่ครั้งนี้อาจจะแตกต่างออกไป โดยมีสาเหตุมาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะ stagflation แรงกดดันด้านมาร์จิ้น QE tapering และความเสี่ยงด้านการเมืองที่สูงขึ้นซึ่งอาจทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในไตรมาสนี้  ดังนั้น เพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น จึงแนะนำให้คงการถือครองหุ้นขนาดใหญ่และกลุ่มหุ้นเชิงรับที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งและงบดุลแข็งแรงเพื่อลดความผันผวนและป้องกันผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

 

          หุ้นเด่นไตรมาสที่ 4/64  แนะนำหุ้นที่มีลักษณะเฉพาะ 1) เป็นหุ้นเชิงรับ 2) ได้ประโยชน์จากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 3) เป็นหุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูง และ 4) เป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค  หุ้นแนะนำคือ  BEM, KCE, OSP, SECURE และ ZEN

•  BEM : เป็นหุ้นที่อิงกับปัจจัยภายนอกประเทศน้อย คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามการคลายมาตรการ COVID-19 หลังจากกรุงเทพมีการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ป่วยลดลง ส่วนปริมาณจราจรบนทางด่วนมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังมีความน่าจะเป็นในการชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม

•  KCE :  กำไรของบริษัทมีแนวโน้มเติบโต HoH และ YoY ในครึ่งปีหลังของปี 2564 ภาพอุตสาหกรรมมีการเติบโตในระดับสูง บริษัทสามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังลูกค้าได้ เนื่องจากความต้องการสินค้าของบริษัทอยู่ในระดับที่สูงและมีปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนค่อนข้างจำกัด ค่าเงินบาทจะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนการเพิ่มขึ้นของกำไร

•  OSP : เป็นหุ้นที่มีลักษณะเชิงรับและมีความผันผวนต่ำ เป็นบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งการฟื้นตัวของตลาดภายในประเทศของสินค้าจำเป็นและเครื่องดื่มจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดพม่าที่คิดเป็น 10% ของรายได้

•  SECURE : เป็นหุ้นขนาดเล็กที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่าง Cybersecurity (ความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์) ที่คาดว่าจะมีความต้องการและลงทุนในกลุ่มนี้ค่อนข้างสูงในอีก 3 ปีข้างหน้า และเป็นหุ้นที่เข้าในธีมธุรกิจใหม่ที่มี S-curve ในระยะยาว

•  ZEN : การทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการเริ่มฟื้นตัวและผ่านจุดต่ำสุด กลยุทธ์ในการเร่งขยายธุรกิจแฟรนไซส์มากกว่า 30 สาขาในครึ่งหลังของปี 2564 จะส่งผลให้อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง โดยเราประเมินว่าผลประกอบการจะมีกำไรในปี 2565